เจาะลึกการเปรียบเทียบภาษีบุคคลธรรมดา VS ภาษีนิติบุคคล รวมถึงข้อควรพิจารณา
การเริ่มต้นธุรกิจหรือการดำเนินกิจการให้เติบโต มักมาพร้อมกับคำถามสำคัญที่ว่า "ควรจดทะเบียนเป็นบริษัทหรือยัง?" หลายคนอาจได้ยินมาว่าการจดบริษัทช่วยประหยัดภาษี แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เสมอไป เพราะทั้งการเสียภาษีบุคคลและภาษีนิติบุคคลต่างมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องภาษีแบบละเอียด ตั้งแต่การคำนวณภาษีขั้นบันไดสำหรับบุคคลธรรมดา ไปจนถึงอัตราภาษีนิติบุคคล พร้อมวิเคราะห์จุดคุ้มทุนที่เหมาะสมสำหรับการจดบริษัท รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณา เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าธุรกิจของคุณควรอยู่ในรูปแบบใด
เปรียบเทียบระบบภาษีทั้งสองแบบ
ก่อนที่เราจะตัดสินใจว่าควรเลือกเสียภาษีในรูปแบบใด เราต้องทำความเข้าใจระบบการจัดเก็บภาษีของทั้งสองรูปแบบให้ชัดเจนเสียก่อน เพราะไม่เพียงแต่อัตราภาษีนิติบุคคลจะแตกต่างจากภาษีบุคคลเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของการคำนวณฐานภาษี การหักค่าใช้จ่าย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
บางคนอาจคิดว่าการจดบริษัทจะช่วยประหยัดภาษีได้เสมอ แต่ความจริงแล้วต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน มาดูกันว่าแต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร และอะไรที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณที่สุด
1. ภาษีขั้นบันไดสำหรับบุคคลธรรมดา
บุคคลธรรมดาจะเสียภาษีขั้นบันได โดยมีอัตราตั้งแต่
- 0% : 0-150,000 บาท
- 5% : 150,001-300,000 บาท
- 10% : 300,001-500,000 บาท
- 15% : 500,001-750,000 บาท
- 20% : 750,001-1,000,000 บาท
- 25% : 1,000,001-2,000,000 บาท
- 30% : 2,000,001-5,000,000 บาท
- 35% : มากกว่า 5,000,000 บาท
2. อัตราภาษีนิติบุคคล
นิติบุคคลจะเสียภาษีในอัตราคงที่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ โดยมีข้อยกเว้นสำหรับ SMEs ดังนี้
- กำไรสุทธิ 0-300,000 บาท: ยกเว้นภาษี
- กำไรสุทธิ 300,001-3,000,000 บาท: 15%
- กำไรสุทธิส่วนที่เกิน 3,000,000 บาท: 20%
เงื่อนไข SME คือทุนชำระไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท
เมื่อไหร่ควรพิจารณาจดทะเบียน VAT บุคคลธรรมดา?
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจ เพราะนอกจากจะเป็นหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว ยังอาจเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณด้วย การจดทะเบียน VAT บุคคลธรรมดาควรพิจารณาในกรณีต่อไปนี้
- มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (ต้องจดทะเบียน)
- ต้องการความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจ
- ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนิติบุคคลที่ต้องการใบกำกับภาษี
การจดทะเบียน VAT หากวางแผนและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ก็จะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับธุรกิจของคุณไปสู่ความเป็นมืออาชีพ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีแผนจะขยายกิจการในอนาคต การเตรียมพร้อมด้านระบบภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและยั่งยืน
รายได้เท่าไหร่ควรพิจารณาจดบริษัท?
การตัดสินใจจดทะเบียนบริษัทเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะนอกจากจะเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีแล้ว ยังมีผลต่อโครงสร้างการบริหาร ความน่าเชื่อถือ และโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ มาดูกันว่าเมื่อไหร่ที่ธุรกิจของคุณพร้อมสำหรับการก้าวไปสู่การเป็นนิติบุคคล
อย่างไรก็ตาม “ไม่มีตัวเลขตายตัว” ว่ารายได้เท่าไหร่ถึงควรจดบริษัท เพราะขึ้นอยู่กับ กำไรสุทธิ ภาระภาษี ค่าใช้จ่าย และเป้าหมายธุรกิจ แต่โดยทั่วไป มีแนวทางพิจารณา 2 ข้อหลักๆ ที่มักนำมาใช้กันคือ
1. รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี → ต้องจด VAT
หากธุรกิจมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี (ไม่ใช่กำไร แต่เป็นรายรับทั้งหมด) ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อยู่แล้ว ถ้าเลยจุดนี้ไป การตั้งบริษัทอาจช่วยวางแผนภาษีได้ดีขึ้น
2. กำไรสุทธิสูง ภาระภาษีเริ่มหนัก
สำหรับบุคคลธรรมดาจะต้องเสียภาษีแบบก้าวหน้า สูงสุด 35% แต่สำหรับนิติบุคคลจะเสียภาษีแบบขั้นบันได สูงสุด 20% ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้ากำไรสุทธิของธุรกิจคุณเริ่มเข้า หลักล้านบาทขึ้นไป อาจคุ้มกว่าหากเปลี่ยนเป็นนิติบุคคล
นอกจากนี้ยังมีข้อพิจารณาที่นอกเหนือจากรายได้อีก เช่น ธุรกิจของคุณมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่สามารถนำมาหักภาษีได้, ต้องการความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจ, มีแผนขยายกิจการในอนาคต หรือแม้กระทั่งการมีหุ้นส่วนหลายคนที่ต้องกำหนดสัดส่วนความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจน และมีโครงสร้างทางกฎหมายรองรับเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในอนาคต
การตัดสินใจจดบริษัทจึงไม่ใช่เรื่องของตัวเลขหรือผลประโยชน์ทางภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาถึงความพร้อมในทุกด้าน ทั้งระบบการจัดการ บุคลากร และเงินทุนหมุนเวียน เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้เป็นก้าวที่มั่นคงสู่การเติบโตในระยะยาว
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม
ก่อนตัดสินใจจดทะเบียนบริษัท นอกจากตัวเลขรายได้และเรื่องภาษีแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ควรพิจารณาให้รอบด้าน เพราะการเป็นนิติบุคคลไม่ได้มีแค่ข้อดี แต่ยังมาพร้อมกับความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น มาดูกันว่ามีประเด็นสำคัญอะไรบ้างที่ควรคำนึงถึง
- การปฏิบัติตามข้อกฎหมาย: เมื่อเป็นนิติบุคคลแล้ว บริษัทจำเป็นต้องมีการทำบัญชีที่เป็นระบบ เก็บเอกสารอย่างครบถ้วน มีการจัดการด้านภาษีที่ซับซ้อนขึ้น เพื่อให้ตรงตามข้อกฎหมายต่างๆ ให้ถูกต้อง
- ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น: ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างทำบัญชี ค่าธรรมเนียมต่างๆ หรือค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎหมาย
- สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ: เมื่อเป็นนิติบุคคลแล้วก็จะมีสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เช่น การหักค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ความน่าเชื่อถือทางธุรกิจมากขึ้น และมีโอกาสในการขยายกิจการ
สรุป
การตัดสินใจระหว่างการเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาถึงเป้าหมายทางธุรกิจระยะยาว ความพร้อมในการบริหารจัดการ โครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่าย รวมถึงแผนการเติบโตในอนาคตด้วย
หากธุรกิจของคุณมีแนวโน้มเติบโตและมีกำไรสุทธิเกิน 2 ล้านบาทต่อปี การจดบริษัทและเสียภาษีนิติบุคคลอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว แต่หากยังเป็นธุรกิจขนาดเล็กและต้องการความคล่องตัว การเป็นบุคคลธรรมดาก็ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
- ภาษีบุคคล
- ภาษีนิติบุคคล
- ภาษีขั้นบรรได
- จดทะเบียน vat บุคคลธรรมดา
- อัตราภาษีนิติบุคคล