Skip to content Skip to footer

เริ่มต้นธุรกิจใหม่ ควรแยกบัญชีธนาคารธุรกิจจากบัญชีส่วนตัวหรือไม่?

เริ่มธุรกิจใหม่ต้องรู้! ขั้นตอนการเปิดบัญชีนิติบุคคลที่ถูกต้อง เอกสารที่ต้องเตรียม และเหตุผลที่ต้องแยกบัญชีธุรกิจจากบัญชีส่วนตัว พร้อมคำแนะนำเรื่องเงินเดือนเจ้าของกิจการ

การเริ่มต้นธุรกิจใหม่เป็นก้าวสำคัญที่หลายคนฝันถึง แต่ความฝันจะเป็นจริงได้ต้องมีการวางแผนที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของทุกธุรกิจ หนึ่งในขั้นตอนแรกๆ ที่ผู้ประกอบการใหม่ต้องทำคือ การเปิดบัญชีบริษัท ที่ถูกต้องเพื่อแยกการเงินส่วนตัวออกจากการเงินธุรกิจ

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเปิดบัญชีนิติบุคคล อย่างละเอียด ทั้งขั้นตอน เอกสารเปิดบัญชีบริษัทที่ต้องเตรียม และประโยชน์ที่จะได้รับ

ทำไมต้องแยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจ?

การแยกบัญชีส่วนตัวออกจากบัญชีธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการหลายคนอาจมองข้าม แต่การทำเช่นนี้มีประโยชน์มากมาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการใช้บัญชีส่วนตัวปนกับธุรกิจอาจทำให้เกิดความสับสนในการจัดการการเงิน เพราะรายรับรายจ่ายของธุรกิจจะปะปนกับค่าใช้จ่ายส่วนตัว ทำให้ยากต่อการติดตามผลประกอบการที่แท้จริง นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและการตรวจสอบบัญชี

ประโยชน์ของการแยกบัญชีเปิดบัญชีบริษัท

  1. ทำให้การบริหารจัดการทางการเงินชัดเจน
  2. ง่ายต่อการคำนวณภาษี
  3. สร้างความน่าเชื่อถือกับคู่ค้าและลูกค้า
  4. ป้องกันปัญหาทางกฎหมายในอนาคต
  5. ง่ายต่อการตรวจสอบสถานะทางการเงินของธุรกิจ

การเปิดบัญชีธนาคารในนามนิติบุคคล มีขั้นตอนอย่างไร?

การเปิดบัญชีธนาคารในนามบริษัทมีขั้นตอนที่ละเอียดกว่าการเปิดบัญชีส่วนบุคคล เพราะมีเอกสารและข้อกำหนดเพิ่มเติม โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

1. จัดเตรียมเอกสารเปิดบัญชีบริษัทให้ครบถ้วน

เอกสาร เปิดบัญชีบริษัท ที่ต้องเตรียมโดยทั่วไปประกอบด้วย:

  • หนังสือรับรองบริษัทที่ออกโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (อายุไม่เกิน 3 เดือน)
  • บัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
  • รายงานการประชุม คณะกรรมการบริษัทที่มีมติให้เปิดบัญชีธนาคาร โดยระบุ:
    • ชื่อธนาคารและสาขาที่ต้องการเปิดบัญชี
    • ประเภทบัญชีที่ต้องการเปิด
    • ชื่อผู้มีอำนาจลงนามในการทำธุรกรรมทางการเงิน
    • เงื่อนไขการลงนาม (เช่น ลงนามคนเดียว หรือ ลงนามร่วมกัน)
  • หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับบริษัท
  • ตราประทับบริษัท (ถ้ามี)
  • แบบ ภ.พ.20 (กรณีจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม)


หมายเหตุ: เอกสารอาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากธนาคารที่ต้องการเปิดบัญชีบริษัทโดยตรง

2. จัดทำรายงานการประชุม เปิดบัญชีธนาคาร

ก่อนไปติดต่อธนาคาร ต้องมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อมีมติในการเปิดบัญชีนิติบุคคล โดยรายงานการประชุม เปิดบัญชีธนาคาร ควรมีรายละเอียดดังนี้

  1. ชื่อบริษัท – ระบุชื่อบริษัทตามที่จดทะเบียนไว้อย่างถูกต้อง
  2. วัน เวลา และสถานที่ประชุม – ระบุวันที่, เวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด, และสถานที่จัดการประชุม
  3. รายชื่อกรรมการผู้เข้าร่วมประชุม – ระบุรายชื่อและตำแหน่งของกรรมการทั้งหมดที่เข้าร่วม
  4. ระบุองค์ประชุม – ยืนยันว่ามีกรรมการเข้าร่วมครบองค์ประชุมตามข้อบังคับบริษัท
  5. วาระการประชุมเรื่องการเปิดบัญชี – ควรระบุรายละเอียดดังนี้
    • ชื่อธนาคารและสาขาที่ต้องการเปิดบัญชีบริษัท
    • ประเภทบัญชีที่ต้องการเปิด (ออมทรัพย์/กระแสรายวัน)
    • วัตถุประสงค์ของการเปิดบัญชี
    • จำนวนเงินฝากเริ่มต้น (ถ้ามี)
  1. รายชื่อผู้มีอำนาจลงนาม – ระบุชื่อ-นามสกุล และตำแหน่งของผู้มีอำนาจลงนาม
  2. เงื่อนไขการลงนาม – ระบุเงื่อนไขอย่างชัดเจน เช่น:
    • ลงนามคนเดียว
    • ลงนาม 2 คนร่วมกัน
    • ลงนามพร้อมประทับตราบริษัท
    • เงื่อนไขพิเศษอื่นๆ (ถ้ามี)
  1. การอนุมัติการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ – ระบุการอนุมัติให้ใช้บริการเสริม เช่น
    • Internet Banking สำหรับนิติบุคคล
    • Mobile Banking
    • บริการแจ้งเตือนทาง SMS
    • บริการโอนเงินอัตโนมัติ
  1. การมอบอำนาจ – ระบุการมอบอำนาจให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งดำเนินการเปิดบัญชีแทนบริษัท (ถ้ามี)
  2. มติที่ประชุม – ระบุว่าที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์หรือด้วยเสียงข้างมากในการอนุมัติ
  3. ลายมือชื่อประธานในที่ประชุม – มีลายมือชื่อของประธานกรรมการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานในที่ประชุม
  4. ตราประทับบริษัท – ประทับตราบริษัท (ถ้ามีกำหนดใช้)

 

รายงานการประชุมที่มีรายละเอียดครบถ้วนตามนี้จะช่วยให้กระบวนการเปิดบัญชีนิติบุคคลเป็นไปอย่างราบรื่น และป้องกันการถูกปฏิเสธจากธนาคารเนื่องจากเอกสารไม่ครบถ้วนครับ

3. ติดต่อธนาคารเพื่อเปิดบัญชี

เมื่อเตรียมเอกสารครบถ้วนแล้ว ให้ผู้มีอำนาจลงนามตามที่ระบุในรายงานการประชุม ไปติดต่อธนาคารที่ต้องการเปิดบัญชีบริษัท โดยทั่วไปผู้มีอำนาจจะต้องไปด้วยตนเอง

หลายธนาคารในปัจจุบันเริ่มมีบริการเปิดบัญชีออนไลน์สำหรับนิติบุคคล แต่ในขั้นตอนสุดท้ายอาจยังต้องไปยืนยันตัวตนที่สาขา

4. เลือกประเภทบัญชีให้เหมาะกับธุรกิจ

โดยทั่วไป บัญชีธุรกิจมี 4 ประเภทหลัก ที่เหมาะกับการใช้งานแตกต่างกัน ดังนี้

  1. บัญชีออมทรัพย์นิติบุคคล: เหมาะสำหรับการรับเงินโอนและเก็บเงินสำรอง ได้รับดอกเบี้ย แต่มีข้อจำกัดในการถอนเงิน
  2. บัญชีกระแสรายวัน: เหมาะสำหรับการทำธุรกรรมประจำวัน สามารถสั่งจ่ายด้วยเช็คได้ แต่ไม่ได้รับดอกเบี้ย
  3. บัญชีเงินฝากประจำ: เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีเงินทุนสำรองและต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยต้องฝากเงินไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด (เช่น 3 เดือน, 6 เดือน, 1 ปี) ถอนก่อนกำหนดอาจไม่ได้รับดอกเบี้ยหรือได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลง เป็นวิธีบริหารสภาพคล่องส่วนเกินที่ดี
  4. บัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD): สำหรับธุรกิจที่มีรายรับหรือรายจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และประหยัดค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนเงินตรา เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการส่งออก-นำเข้า หรือมีคู่ค้าต่างประเทศ

 

ธุรกิจขนาดเล็กอาจเริ่มต้นด้วยบัญชีออมทรัพย์และกระแสรายวัน แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น การมีบัญชีที่หลากหลายจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการเงิน การเลือกใช้บัญชีประเภทใดควรพิจารณาจากลักษณะธุรกิจ ปริมาณธุรกรรม และแผนการบริหารสภาพคล่องของกิจการ

เจ้าของกิจการต้องมีเงินเดือนและแยกบัญชีชัดเจนหรือไม่?

เป็นเรื่องที่หลายคนสงสัยว่า เมื่อเป็นเจ้าของกิจการแล้ว ต้องจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองหรือไม่ แล้วต้องแยกบัญชีตัวเองออกจากบัญชีบริษัทหรือไม่ คำตอบคือ ควรมีและควรแยก ด้วยเหตุผลและประโยชน์หลายข้อ

ทำไมเจ้าของกิจการควรมีเงินเดือนและแยกบัญชี

  1. สร้างความชัดเจนทางบัญชี: การจ่ายเงินเดือนให้เจ้าของกิจการทำให้การบันทึกบัญชีมีความชัดเจน แยกระหว่างเงินส่วนตัวกับเงินของบริษัท ซึ่งสอดคล้องกับหลักการแยกบัญชีธนาคารธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว ทำให้การบริหารการเงินเป็นระบบ
  2. ประโยชน์ทางภาษี: เงินเดือนเจ้าของกิจการถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท สามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้ (ตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด) ช่วยให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. สร้างประวัติเครดิตส่วนบุคคล: การมีเงินเดือนที่แน่นอนช่วยในการสร้างประวัติเครดิตส่วนบุคคล เป็นประโยชน์ต่อการขอสินเชื่อส่วนบุคคลในอนาคต เนื่องจากสถาบันการเงินมักพิจารณารายได้ประจำในการอนุมัติสินเชื่อ
  4. เข้าสู่ระบบประกันสังคม: เจ้าของกิจการที่มีสถานะเป็นลูกจ้างของบริษัท (มีเงินเดือน) สามารถเข้าระบบประกันสังคมได้ ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การรักษาพยาบาล เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ
  5. สร้างวินัยทางการเงิน: การกำหนดเงินเดือนที่ชัดเจนช่วยให้เจ้าของกิจการมีวินัยในการใช้จ่าย ไม่ดึงเงินจากบริษัทมาใช้ส่วนตัวตามใจชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของธุรกิจได้

 

การแยกบัญชีธนาคารธุรกิจจากบัญชีส่วนตัวและการจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบการเงินที่ดีในการเริ่มต้นธุรกิจ ช่วยให้การจัดการทางการเงินมีความโปร่งใส เป็นระบบ และสามารถติดตามผลประกอบการได้อย่างแม่นยำ

วิธีกำหนดเงินเดือนเจ้าของกิจการ

การกำหนดเงินเดือนให้เจ้าของกิจการเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะส่งผลต่อทั้งสภาพคล่องของธุรกิจและการวางแผนภาษี การตัดสินใจเรื่องนี้ควรคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าของกิจการและความยั่งยืนของธุรกิจ

 

การกำหนดเงินเดือนเจ้าของกิจการควรคำนึงถึง

  • สถานะทางการเงินของบริษัท
  • ภาระงานและความรับผิดชอบ
  • อัตราค่าตอบแทนในตลาดสำหรับตำแหน่งที่คล้ายกัน
  • การวางแผนภาษีของนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา

 

โดยทั่วไป ควรกำหนดเงินเดือนที่สมเหตุสมผล ไม่สูงหรือต่ำเกินไป เพื่อป้องกันการตั้งข้อสังเกตจากกรมสรรพากร

สรุป

การเปิดบัญชีบริษัทในนามนิติบุคคลอย่างถูกต้องเป็นก้าวสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจอย่างมืออาชีพ ประโยชน์หลักๆ ไม่ว่าจะเป็นการแยกการเงินส่วนตัวออกจากธุรกิจอย่างชัดเจน การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ ง่ายต่อการบริหารจัดการและติดตามกระแสเงินสด มีความสอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายและภาษี รวมถึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจและเข้าถึงแหล่งเงินทุน


การวางรากฐานทางการเงินที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว การเปิดบัญชีนิติบุคคลจึงเป็นการวางแผนทางการเงินที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ประกอบการทุกคน

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานการประชุมเปิดบัญชีธนาคาร
  • เปิดบัญชีบริษัท
  • บัญชีธุรกิจ
  • เปิดบัญชีนิติบุคคล
  • เอกสารเปิดบัญชีบริษัท