Skip to content Skip to footer

e-Tax Invoice และ e-Receipt คืออะไร? ต่างกันอย่างไร?

ทำความเข้าใจระบบ e-Tax ที่ช่วยให้การออกใบกำกับภาษีและลดหย่อนภาษีง่ายขึ้น พร้อมเรียนรู้การใช้งาน e-Tax Invoice และ e-Receipt ตามมาตรฐานกรมสรรพากร เพื่อยกระดับธุรกิจของคุณสู่ยุคดิจิทัล

คุณเคยรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเก็บใบเสร็จกองโต กลัวใบเสร็จหาย หรือปวดหัวกับการค้นหาเอกสารเพื่อยื่นภาษีไหม? ลองนึกภาพว่าถ้าทุกอย่างอยู่ในมือถือเครื่องเดียว จัดการได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารหาย... นี่ไม่ใช่เรื่องในจินตนาการอีกต่อไป เพราะระบบ e-Tax ที่พัฒนาโดยกรมสรรพากร กำลังเปลี่ยนโฉมการจัดการเอกสารภาษีให้ง่ายดายกว่าที่เคย มาทำความรู้จักกับนวัตกรรมที่จะช่วยให้ชีวิตคุณและธุรกิจของคุณง่ายขึ้นกันดีกว่า

e-Tax Invoice และ e-Receipt คืออะไร?

การทำความเข้าใจระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์อาจดูซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วมันคือการยกระดับเอกสารที่เราคุ้นเคยให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อความสะดวกและประสิทธิภาพที่มากขึ้น ระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) มาดูกันว่าแต่ละประเภทมีความสำคัญอย่างไร

ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice)

คือ ใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ และใบลดหนี้ ที่ได้มีการจัดทำข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้ลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) หรือได้มีการประทับรับรองเวลา (Time Stamp) ด้วยวิธีการที่กรมสรรพากรกำหนด สามารถใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษีและยื่นภาษีกับกรมสรรพากรได้อย่างถูกต้อง ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการเอกสารและประหยัดพื้นที่จัดเก็บ

ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt)

คือ ใบรับหรือใบเสร็จรับเงินที่ได้มีการจัดทำข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้ลงลายมือชื่อดิจิทัล ด้วยวิธีการที่กรมสรรพากรกำหนด ที่ออกโดยผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ (SBT) ใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

รูปแบบของระบบ e-Tax ที่ควรรู้

หากคุณกำลังวางแผนที่จะเริ่มใช้ระบบ e-Tax คำถามแรกที่อาจผุดขึ้นมาในใจคือ “แล้วควรเลือกใช้แบบไหนดี?” ไม่ต้องกังวลไป เพราะกรมสรรพากรได้ออกแบบระบบให้รองรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ร้านค้าเล็กๆ ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ มาดูกันว่ามีรูปแบบอะไรบ้าง และแบบไหนที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ

ระบบ e-Tax แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ประกอบการคือ

1. e-Tax Invoice & e-Receipt

ระบบมาตรฐานที่ไม่จำกัดขนาดธุรกิจ มีจุดเด่นดังนี้

  • เป็นระบบบริการด้านภาษีที่กรมสรรพากรพัฒนาขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบการภาคต่างๆ ได้จัดทำใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ และใบเสร็จรับเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
  • ใช้ลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ที่มีความปลอดภัยระดับสากล
  • เหมาะกับผู้ประกอบการที่มี Software บัญชี, ERP หรือสามารถใช้บริการจาก Service Provider หรือสามารถพัฒนาระบบบัญชีได้ด้วยตนเอง
  • ช่วยลดต้นทุนการออกใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงิน
  • ส่งมอบเอกสารให้ลูกค้าได้ทันที
  • นำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรได้ 3 ช่องทาง: Web Upload, Service Provider และ Host to Host

2. e-Tax Invoice by Email

รูปแบบที่เรียบง่ายสำหรับธุรกิจขนาดย่อม

  • เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมสรรพากร สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) และสำนักงานพัฒนาดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.)
  • เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี
  • เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มี Software บัญชี
  • มีระบบประทับรับรองเวลา (Time Stamp) อัตโนมัติ จาก ETDA
  • ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ผู้ประกอบการสามารถแนบไฟล์ส่งผ่าน e-mail ให้แก่ผู้ซื้อและสำเนาไปที่อีเมลกลางของระบบ
  • ระบบจะส่งไฟล์ข้อมูลที่ประทับรับรองเวลาแล้วให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย
  • มีการนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ

ความแตกต่างระหว่างระบบ e-Tax ทั้งสองรูปแบบ

“เราควรเลือกใช้ระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt หรือ e-Tax Invoice by Email ดี?” คำถามนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและความพร้อมของคุณ มาทำความเข้าใจไปพร้อมกัน เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ

 

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง e-Tax Invoice และ e-Receipt จะช่วยให้คุณสามารถเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้อง

ด้านขนาดธุรกิจและรายได้

  • e-Tax Invoice & e-Receipt: ไม่จำกัดรายได้ เหมาะกับทุกขนาดธุรกิจ
  • e-Tax Invoice by Email: เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี

ประเภทเอกสารที่รองรับ

  • e-Tax Invoice & e-Receipt: รองรับทั้งใบกำกับภาษี ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ใบเสร็จรับเงิน ใบเพิ่มหนี้ และใบลดหนี้
  • e-Tax Invoice by Email: รองรับเฉพาะใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ และใบลดหนี้ (ไม่รวมใบรับอิเล็กทรอนิกส์)

รูปแบบการจัดทำเอกสาร

  • e-Tax Invoice & e-Receipt: จัดทำเป็นไฟล์ XML หรือรูปแบบอื่นตามที่กำหนด
  • e-Tax Invoice by Email: จัดทำเป็นไฟล์ PDF/A-3 เท่านั้น

วิธีการรับรองความน่าเชื่อถือ

  • e-Tax Invoice & e-Receipt: ใช้ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (CA) และลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature)
  • e-Tax Invoice by Email: ใช้การประทับรับรองเวลา (Time Stamp) จาก ETDA

การนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร

  • e-Tax Invoice & e-Receipt: ส่งผ่าน 3 ช่องทาง คือ Web Upload, Host to Host หรือ Service Provider
  • e-Tax Invoice by Email: ไม่ต้องนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรเอง ระบบจะส่งข้อมูลให้โดยอัตโนมัติ

ความซับซ้อนและความพร้อมทางเทคโนโลยี

  • e-Tax Invoice & e-Receipt: ต้องมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เหมาะกับผู้ประกอบการที่มี Software บัญชี, ERP หรือใช้บริการจาก Service Provider
  • e-Tax Invoice by Email: ไม่ซับซ้อน เหมาะกับผู้ประกอบการที่ไม่มี Software บัญชี หรือมีการออกใบกำกับภาษีจำนวนไม่มาก

มีระบบ e-Tax แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไร?

หลายคนอาจสงสัยว่า “ทำไมต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax ด้วย?” คำตอบนั้นง่ายมาก เพราะนี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนจากกระดาษมาเป็นดิจิทัล แต่เป็นการยกระดับการทำธุรกิจของคุณให้ก้าวไกลกว่าที่เคย มาดูกันว่าการเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax จะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้ประโยชน์อะไรบ้าง

 

การเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax นำมาซึ่งประโยชน์มากมาย เช่น

  1. ประหยัดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์และจัดเก็บเอกสาร ประหยัดพื้นที่จัดเก็บ และลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสาร
  2. เพิ่มประสิทธิภาพ การค้นหาและตรวจสอบข้อมูลทำได้รวดเร็ว ลดความผิดพลาดจากการป้อนข้อมูล การประมวลผลและจัดทำรายงานทำได้อัตโนมัติ
  3. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้กระดาษ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งเอกสาร

ใครได้ประโยชน์บ้าง?

  • ผู้ประกอบการ: ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ
  • ลูกค้า: สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารสูญหาย
  • สิ่งแวดล้อม: ลดการใช้กระดาษ เป็นมิตรกับโลก
  • กรมสรรพากร: ข้อมูลถูกต้อง ตรวจสอบง่าย

 

การเก็บรักษาข้อมูล  

ผู้จัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ซื้อหรือผู้รับบริการ มีหน้าที่ต้องเก็บรักษาข้อมูลไว้ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยต้องเก็บรักษาข้อมูลไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 7 ปี และกรณีอยู่ระหว่างการตรวจสอบภาษีอากรจะต้องเก็บไว้จนกว่าการตรวจสอบภาษีอากรจะแล้วเสร็จ

 

เตรียมพร้อมก้าวสู่ยุคดิจิทัลกับระบบ e-Tax

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มักมาพร้อมกับคำถามมากมาย แต่ระบบ e-Tax ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นก้าวสำคัญที่ธุรกิจไทยไม่ควรพลาดเพราะเป็นเทรนด์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในยุคดิจิทัล ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้เปรียบในการแข่งขัน ประหยัดต้นทุนและทรัพยากรในระยะยาว

การเก็บรักษาข้อมูล

ผู้จัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ซื้อหรือผู้รับบริการ มีหน้าที่ต้องเก็บรักษาข้อมูลไว้ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยต้องเก็บรักษาข้อมูลไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 7 ปี และกรณีอยู่ระหว่างการตรวจสอบภาษีอากรจะต้องเก็บไว้จนกว่าการตรวจสอบภาษีอากรจะแล้วเสร็จ

เตรียมพร้อมก้าวสู่ยุคดิจิทัลกับระบบ e-Tax

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มักมาพร้อมกับคำถามมากมาย แต่ระบบ e-Tax ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นก้าวสำคัญที่ธุรกิจไทยไม่ควรพลาดเพราะเป็นเทรนด์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในยุคดิจิทัล ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้เปรียบในการแข่งขัน ประหยัดต้นทุนและทรัพยากรในระยะยาว

สรุป

ระบบ e-Tax เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบภาษีของประเทศไทย ที่ช่วยให้การจัดการเอกสารทางภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ง่ายขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว การทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานระบบนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด เพื่อก้าวไปสู่การทำธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างมั่นใจ

 

ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจไทยจะก้าวสู่การเป็น “Smart Enterprise” อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยระบบ e-Tax ที่จะช่วยให้การจัดการภาษีและเอกสารทางการเงินเป็นเรื่องง่าย ประหยัดเวลา และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เริ่มต้นวันนี้ เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืนในอนาคต

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

  • e-receipt
  • e-tax
  • e-tax ลดหย่อนภาษี
  • e-tax invoiceลดหย่อนภาษี
  • e-tax กรมสรรพากร